การขาดสมดุลชีวิตและการทำงาน เป็นสาเหตุหลักของ “ภาวะหมดไฟ” ในการทำงาน จนส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษา และรับคำแนะนำในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
ศ.นพ.พรชัย สิทธิศรัณย์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายเวชศาสตร์ ป้องกันและสังคม รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ข้อมูลว่า ภาวะคุกคามคุณภาพชีวิตของคนในปัจจุบันอาจไม่ใช่เพียงแค่โรคทางกายเท่านั้น แต่สภาวะความผิดปกติทางจิตใจกำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามคนวัยทำงานยุคนี้ ล่าสุดภาวะนี้กำลังเป็นที่กล่าวถึงในโลกออนไลน์อย่างแพร่หลาย เรียกว่า “ภาวะหมดไฟ” หรือ Burn out องค์การอนามัยโลกประกาศว่าจะใช้มาตรฐานการจัดกลุ่มโรคฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 11 (International Classification of Diseases Revision11: ICD-11) ในวันที่ 1 มกราคม 2565 หรือ ค.ศ.2022 และมีข่าวว่าองค์การอนามัยโลกจะถือว่าภาวะหมดไฟเป็นโรค หรือเป็นการวินิจฉัยทางการแพทย์ได้ แต่ล่าสุด องค์การอนามัยโลกภาวะหมดไฟไม่ใช่โรค และแนะนำให้จำกัดการเรียกภาวะหมดไฟนี้เฉพาะในคนทำงานหรือประกอบอาชีพเท่านั้น ไม่ใช้คำนี้ในภาวะที่มีความรู้สึกลบหลายอย่างที่คล้ายกันแต่มีสาเหตุจากอย่างอื่น เช่น ครอบครัว คนรัก หรือเรื่องส่วนตัว
ภาวะหมดไฟเป็นภาวะผิดปกติที่เกิดจากการทำงาน (Occupational Phenomenon) ไม่ใช่ความผิดปกติใหม่ แต่เป็นหัวข้อที่มีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ สำหรับสาเหตุอาจกล่าวได้ว่า เป็นผลกระทบจากการขาดสมดุลชีวิตและการทำงาน (WorkLife Balance) ทำให้เกิดปัจจัยต่างๆ อันนำมาซึ่งภาวะหมดไฟในการทำงาน อาทิ ขาดการบริหารจัดการและการตัดสินใจที่ดี อยู่ใน สิ่งแวดล้อมหรือสภาพการทำงานที่มีความกดดันและความเครียดตลอดเวลา ขาดความชัดเจนในภาระงาน ไม่ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน มีความรับผิดชอบในงานและความคาดหวังในการทำงานสูงมากเกินไป ทำงานที่ไม่เหมาะกับตนเองจนทำให้เกิดความเครียด ทำงานที่มีความวุ่นวายทำให้ต้องใช้พลังงานสูงจึงเหนื่อยล้าได้ง่าย และขาดแรงสนับสนุนทางสังคม เป็นต้น
เมื่อเกิดภาวะหมดไฟอาจมีสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติทั้งทางร่างกาย ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย รู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง อ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันต่ำลงอันเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ตามมาได้บ่อยขึ้น จนถึงนอนไม่หลับ เป็นต้น สำหรับความผิดปกติทางอารมณ์ ได้แก่ รู้สึกล้มเหลว สิ้นหวัง หงุดหงิดง่าย กังวลใจทุกครั้งที่ต้องไปทำงาน ขาดแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นในการทำงาน ขาดสมาธิและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เกิดทัศนคติเชิงลบต่องานและผู้ร่วมงาน รู้สึกโดดเดี่ยว ฯลฯ อีกทั้งความผิดปกติทางพฤติกรรม เช่น การขาดความรับผิดชอบต่องาน หลีกเลี่ยงการทำงาน ปลีกตัวออกจากสังคม ใช้ยาหรือแอลกอฮอล์ รวมถึงกินอาหารมากขึ้นเพื่อปลอบประโลมตัวเอง
ภาวะนี้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์เหมือนเช่นโรคอื่นๆ แต่ก็สามารถทำได้ด้วยการใช้แบบสอบถาม “Burn out Self-Test” ที่พัฒนาขึ้นโดย คริสติน่า มาสลัช นักจิตวิทยาสังคมชาวอเมริกัน ซึ่งแบบสอบถามนี้ได้จัดแบ่งคำถามตามหัวข้อชี้วัดภาวะหมดไฟในการทำงาน แบบสอบถามนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงและทำการทดสอบได้ด้วยตนเอง หากพบว่าตนเองกำลังอยู่ในภาวะนี้อย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษาและรับคำแนะนำในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
การลดความเสี่ยงและรักษาอาการนั้น เบื้องต้นสามารถเริ่มได้ด้วยตัวเองคือ ปรับสมดุลการใช้ชีวิตส่วนตัวและการทำงานทันที เพื่อไม่ให้ร่างกายและจิตใจทรุดโทรมไปมากกว่าเดิม เช่น พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบทุกมื้อและเลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ชอบ จำกัดเวลาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารและโซเชียลมีเดีย จัดลำดับความสำคัญของงานและเวลาในการทำงาน สร้างขอบเขตในการทำงาน ปรับมุมมองหรือทัศนคติให้เห็นถึงคุณค่าของงานที่ทำ ช่วยเหลือผู้อื่นเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน หรือออกไปทำกิจกรรมจิตอาสา จะทำให้เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น
ที่มา: เว็บไซต์มติชนออนไลน์